หน้าเว็บ

Diary

 
Diary 1
หมูย่าง หากย้อนตำนานต้นกำเนิดของหมูย่างนั้นเกิดขึ้นในประเทศจีน ประมาณ 1,000 ปีมาแล้ว ในสมัยราชวงศ์ถัง การค้นพบวิธีการย่างหมูนั้นช่างเป็นการบังเอิญเหลือเกิน ในขณะที่พ่อครัวในพระราชวังกำลังปรุงอาหาร ทำหมูชิ้นหนึ่งตกลงไปในเตาถ่าน จนเนื้อสุกและหนังไหม้ พ่อครัวลองหยิบมาชิม รู้สึกว่าหมูชิ้นนั้นมีรสชาติหอมกรอบอร่อย จึงทำให้เขามีความคิดว่า การนำหมูมาย่างเป็นอาหารจะอร่อยกว่าการนำไปใช้ทำอาหารอย่างอื่น ดังนั้นพ่อครัวจึงทดลองนำหมูมาย่างแล้วนำขึ้นถวายฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงโปรดมาก เนื่องจากเมื่อย่างหมูพอสุกพอเหมาะ หนังหมูจะมีสีเหลืองดุจทองคำสุกอร่าม ฮ่องเต้จึงตั้งชื่อหมูย่างนี้ว่า หมูทอง ชาวจีนใช้ชื่อนี้เรียกมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเวลาผ่านมานับพันปี วิชาการหมูย่างก็ได้เผยแพร่โดยการสืบทอดตระกูลของพ่อครัว จนกระทั่งมาถึงมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นมณฑลที่ชาวเมืองมีฝีมือในการปรุงอาหาร จะเห็นได้จากอาหารจีนที่มีรสอร่อยที่สุดจะปรุงโดยพ่อครัวชาวกวางตุ้งทั้งสิ้น ดังนั้นจากเดิมหมูย่างซึ่งเป็นอาหารเฉพาะของฮ่องเต้ก็เริ่มแพร่หลายมาเป็นอาหารของสามัญชน แต่ก็ยังถือว่าหมูย่างยังเป็นอาหารระดับฮ่องเต้อยู่
เมื่อประมาณ 100 ปีก่อนนี้ชาวจีนในมณฑลกวางตุ้งซึ่งอยู่ใกล้ทะเล ได้เริ่มอพยพออกจากประเทศโดยทางเรือเพื่อเสาะหาแผ่นดินทางทะเลใต้ คือ ประเทศไทย ซึ่งร่ำลือกันว่ามีความอุดมสมบูรณ์กว่าประเทศจีนมาก จึงได้ลงเรือกันมาผจญภัยพร้อมกันทั้งหมู่บ้าน และมีบางส่วนได้เดินทางเข้ามาประเทศไทยโดยขึ้นฝั่งที่อำเภอกันตัง หรือปากแม่น้ำตรัง และได้มาบุกเบิกตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดตรัง
ชาวจีนที่อพยพมานี้มีหลายอาชีพ ส่วนใหญ่จะมาบุกเบิกทำไร่พริกไทย จึงได้ตั้งชื่อจังหวัดตรังว่า "เมืองพริกไทย" ชาวจีนเหล่านี้จึงได้มีการเลี้ยงหมูพันธุ์เล็กซึ่งได้นำลงเรือมาด้วยในตำบลทับเที่ยง ปัจจุบันคืออำเภอเมือง จังหวัดตรัง ปรากฏว่าได้ผลดีมาก ต่อมาได้มีคนกลุ่มหนึ่งนำหมูมาชำแหละขาย ซึ่งก็คือต้นตระกูลของร้านฟองจันทร์ หลังจากนั้นร้านฟองจันทร์ได้รับชาวจีนคนหนึ่งมาจากมณฑลกวางตุ้งชื่อนายซุ่น มีความสามารถในการย่างหมูมาก หมูที่ย่างจะมีรสชาติกลมกล่อมและหนังที่กรอบ สมัยนั้นจังหวัดตรังมีผู้ที่ย่างหมูได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ต่อมาเมื่อนายซุ่นมีอายุมากขึ้นก็ได้ฝึกผู้ช่วยขึ้นมา วิชาการย่างหมูจึงได้แพร่หลายจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่นั้นมา
หมูย่างนั้นเดิมเป็นอาหารที่ใช้ในการเซ่นไหว้ของหมู่คนจีน ในงานศพ งานมงคล งานเทศกาลต่างๆ และประกอบพิธีกรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการบนบานศาลกล่าวตามวิถีชีวิตซึ่งยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาหมู่คนจีนในเมืองตรังนิยมนำหมูย่างมากินกับกาแฟ กระทั่งความนิยมกระจายมาสู่หมู่คนตรังในระดับชนชั้นกลางที่เป็นข้าราชการ นักธุรกิจในเขตเมืองตรังและชานเมืองเป็นลำดับ จนกลายเป็นวัฒนธรรมการกินกาแฟกับหมูย่างในยามเช้าที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนหมูย่างเมืองตรังจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดตรังไปในที่สุด
จากอาหารพื้นเมืองที่นิยมรับประทานกันในวงจำกัด หมูย่างเมืองตรังได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากหอการค้าจังหวัดตรังด้วยการจัดงานเทศกาลหมูย่างเมืองตรังขึ้นตั้งแต่ปี 2533 ต่อเนื่องมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับการได้โหนกระแสนโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาล จึงกลายเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ กลายเป็นของแปลก ของโปรด ของประจำบ้านประจำเมืองไปในที่สุด



Diary 2
"ข้าวซอย" คืออาหารพื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศไทย เดิมเรียกว่า "ก๋วยเตี๋ยวฮ่อ" เป็นอาหารที่คล้ายเส้นบะหมี่ ในน้ำซุปที่ใส่เครื่องแกง รสจัดจ้าน มีเครื่องเคียงได้แก่ ผักกาดดอง หอมหัวแดง และมีเครื่องปรุงรส เช่น พริกผัดน้ำมัน น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาล ในตำรับดั้งเดิมเนื้อที่ใช้เป็นเนื้อไก่ แต่ในปัจจุบันร้านอาหารหลายแห่งได้มีการใช้เนื้อหมูแทน บางแห่งอาจเพิ่มอาหารทะเลหรือเต้าหู้เป็นส่วนประกอบ อาหารจานนี้มักไม่ค่อยมีจำหน่ายในร้านอาหารไทยในต่างประเทศ จะพบบ่อยก็แต่ทางภาคเหนือของไทย ข้าวซอยมีต้นกำเนิดจากชาวจีนมุสลิมที่อพยพมาอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยและประเทศลาวแต่เดิมข้าวซอยไม่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ เรียกว่าข้าวซอยน้ำใส ต่อมาได้มีการเพิ่มกะทิเข้าไปจนเป็นที่นิยมอย่างมากและกลายมาเป็นลักษณะข้าวซอยที่รู้จักกันในปัจจุบัน ข้าวซอยจึงเป็นผลลัพธ์ของการผสมผสานระหว่างหว่างอาหารจีน อาหารตะวันออกกลางและอาหารเอเชียอาคเนย์

 
Diary3
 

"ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน" ก็เป็นของกินที่หน้าตาคล้ายๆ กับเมี่ยงก๋วยเตี๋ยว ซึ่งต้นตำรับอาหารแปลกใหม่ที่ทำให้ใครๆ เอ่ยถึงนี้ก็อยู่ที่ร้าน ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน "คุณทิพย์" นั่นเอง นอกจากจะเป็นสูตรต้นตำรับแล้ว ที่ร้านยังคงเน้นการทำที่สดสะอาดทุกขั้นตอนด้วย
นราวัลลภ์ สี่สุวรรณกุล หรือคุณทิพย์ เจ้าของร้าน ยืนยันว่าเป็นเจ้าของสูตรต้นตำรับ และเป็นเจ้าแรกที่ใช้ชื่อว่า "ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน" ตั้งขายที่ตลาดลุงเพิ่ม หลังการบินไทยมานานกว่า 4 ปี เพียงที่นี่ที่เดียว ซึ่งต่อมาก็มีผู้นำไปลอกเลียนแบบและทำตามอย่างมากมาย แต่รสชาติก็คงจะต่างไปจากสูตรดั้งเดิมที่คุณทิพย์คิดค้นขึ้น เพราะกว่าจะมาเป็นก๋วยเตี๋ยวลุยสวนนี้ได้ ก็อาศัยว่าเป็นคนชอบกินและชอบทดลองทำอยู่นาน จนในที่สุดก็ออกมาเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนที่ได้ลิ้มลอง โดยจะมี 2 ไส้ คือ ไส้หมูกับไส้เต้าหู้ ให้เลือกตามความชอบ โดยไส้เต้าหู้นั้นจะเหมาะกับคนที่กินมังสวิรัติ แต่ทั้งสองไส้ก็จะมีเห็ดหอมและแครอทเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งจะผัดและปรุงรสทั้งหมดให้เข้ากันจนได้ที่ แล้วนำห่อกับผักกาดหอม ผักชี และโหระพา ด้วยก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ซึ่งเป็นแผ่นแป้งสด จิ้มกินกับน้ำจิ้มและมีผักสดหลายอย่างเป็นเครื่องเคียง ความเด่นของก๋วยเตี๋ยวลุยสวนคุณทิพย์อยู่ที่ไส้ซึ่งมีรสชาติกลมกล่อม และความสดกรุบกรอบของผักสด บวกกับแผ่นก๋วยเตี๋ยวที่นุ่มได้ที่ และน้ำจิ้มซีฟู้ดรสชาติเปรี้ยวหวานเผ็ดถึงใจ ซึ่งสนนราคาก็มีหลายแบบตามจำนวนชิ้น คือ 5 ชิ้น 25 บาท , 10 ชิ้น 50 บาท และ 20 ชิ้น 100 บาท นอกจากนี้ของทุกอย่างในร้านจะทำกันวันต่อวันไม่มีค้างคืน ส่วนผักที่เห็นสดสะอาดนั้นจะแช่กับน้ำส้มสายชูไว้สักพักเพื่อล้างสารพิษให้หมดไป จึงไม่แปลกใจที่แต่ละวัน จะเห็นมีลูกค้ามายืนรอซื้อก๋วยเตี๋ยวลุยสวนร้านคุณทิพย์กลับบ้านกันคนละหลายกล่อง
ถ้าอยากรู้ว่าต้นตำรับของก๋วยเตี๋ยวลุยสวนเป็นอย่างไร ก็แวะเวียนไปได้ที่ตลาดลุงเพิ่ม หลังการบินไทยแหล่งรวมสินค้าสารพัน ซึ่งอาจจะถือโอกาสนี้แวะช้อปปิ้งไปด้วยก็ได้ไม่ว่ากัน 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น